FAQS

ปัจจุบัน Apils เปิดสอน 3 โปรแกรม โดยนำหลักสูตรวิชาภาษาอังกฤษปีพ.ศ. 2544 ที่บัญญัติโดยกระทรวงศึกษาธิการมาเป็นพื้นฐาน ซึ่งเน้นการพัฒนานักเรียนไทยให้มีความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ อ่าน เขียน ฟัง พูด ไม่เน้นการกวดวิชาเพื่อสอบเข้าหรือเพื่อทำเกรดในระยะสั้น แต่จะมีการฝึกทำข้อสอบเสริมปีละประมาณ 6 ครั้ง

ปัจจุบัน โรงเรียนมีโปรแกรมการเรียนรวมทั้งสิ้น 3 โปรแกรม ได้แก่

  1.  โปรแกรมพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษ (English Proficiency Development Program: E.P.D.P.) ซึ่งสอนเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น เป็นโปรแกรมที่สอนโดยครูไทย 2 คาบเพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านและเขียนภาษาอังกฤษได้ในระดับเดียวกับเจ้าของภาษาและมีคุณครูต่างชาติช่วยสอนการฟังและการพูดเสริมอีกหนึ่งคาบ เพื่อให้นักเรียนเกิดความคุ้นชินกับภาษาพูดตั้งแต่เยาว์วัย โปรแกรมนี้มีทั้งสิ้น 30 ระดับ เรียนเดือนละ 10 ชั่วโมง ค่าเรียนเพียง 1,800 บาทต่อเดือน

  2. โปรแกรมการฟังพูดแบบเข้มข้นหรือโครงการอัจฉริยะน้อยฝึกพูดภาษาอังกฤษ (Intensive Listening and Speaking Program: I.L.S.P.) เป็นโปรแกรมที่จัดให้นักเรียนเรียนฟังพูดกับครูต่างชาติแบบซึมซับอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย โดยใช้สื่อและอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน เพื่อการจำได้ และนำไปใช้ในระยะยาว จำนวนนักเรียนกลุ่มละ 5 และกลุ่มละ 10 คน ต่อครูต่างชาติ 1 ท่าน โปรแกรมนี้เน้นการฟังพูดเป็นหลัก (เปิดให้เฉพาะนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียน โปรแกรม EPDP แล้วเท่านั้น)

  3. โปรแกรมการพัฒนาสำเนียงให้เป็นสากล (Accent Development Program: A.D.P.) โปรแกรมนี้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเด็กไทย ซึ่งเน้นการพัฒนาการเปล่งเสียงของนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการให้มีสำเนียงใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด โดยเสียงที่ฝึกจะใกล้เคียงกับสำเนียงที่ได้ยินจาก CNN และรายการทีวีที่ใช้สำเนียงอเมริกันทางเหนือ เพราะเป็นสำเนียงที่เลียนแบบได้ไม่ยากนักสำหรับเด็กไทย นักเรียนที่ผ่านการฝึกฝนในโปรแกรมนี้สำเร็จจะสามารถอ่านออกเสียงและพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่เป็นสากล ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองเวลาพูดหรือนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ดี การที่จะสื่อสารกับคนทั่วโลกที่พูดหลากหลายสำเนียงนั้น เราก็จำเป็นต้องปรับการฟังอยู่ตลอดเวลา แม้เจ้าของภาษาเองก็ยังต้องปรับการฟังเช่นกัน (เปิดให้เฉพาะนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนโปรแกรม EPDP แล้วเท่านั้น)

เราไม่เรียกว่าการสอบแต่เราเรียกว่าการประเมินการเรียนรู้ เมื่อเรียนจบบทเรียนแต่ละระดับ เราก็จะประเมินดูว่าเด็กๆทำได้มากน้อยแค่ไหน ระยะเวลาในการประเมินขึ้นอยู่กับวัยของผู้เรียนกับเรื่องที่เรียน ถ้าผลการประเมินพบว่าเด็กยังทำได้ไม่ดี เราต้องให้เรียนซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบทเรียนนั้นเป็นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนในระดับถัดไป จึงเป็นการยากที่จะกำหนดวันประเมินตายตัวล่วงหน้า

เด็กๆส่วนใหญ่ที่เรียนจนประสบความสำเร็จจะผ่านการประเมินกันอยู่เป็นนิจ และแต่ละระดับใช้เวลาในการเรียนไม่เท่ากัน หากท่านมีความกังวลสงสัย ให้ฝากคำถามไว้กับคุณครูธุรการเพื่อสอบถามคุณครูผู้สอนต่อไป

หลักการสอนซ้ำจนทำได้เป็นการพิทักษ์รักษาสิทธิของเด็กๆที่มีความสามารถในการเรียนรู้แตกต่างกัน พ่อแม่ที่ชอบเปรียบเทียบลูกตนเองกับลูกคนอื่นต้องพัฒนาความคิด ยกระดับจิตใจให้ยอมรับลูกของตนเอง แล้วจึงจะมีสติในการหาหนทางช่วยลูกให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น และพัฒนาลูกอย่างเป็นองค์รวม

เด็กจะได้เรียนเมื่อไหร่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีความสามารถด้านการอ่านและสามารถประยุกต์หลักการไปอ่านคำศัพท์ที่ไม่เคยเห็นได้มากน้อยแค่ไหน เด็กที่อ่านคำศัพท์เองไม่คล่อง สะกดคำไม่ได้ เรียนไวยากรณ์ไปก็ไม่รู้เรื่องและยิ่งทำให้รู้สึกว่าภาษาอังกฤษยากเพราะฉะนั้นควรรอให้อ่านหนังสือคล่องเสียก่อน จึงค่อยเริ่มเรียนไวยากรณ์และโครงสร้างประโยค

คุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนที่ Apils ต้องเข้าใจเรื่องนี้ตรงกันกับทางโรงเรียน เด็กหลายคนทำข้อสอบที่โรงเรียนไม่ได้ พ่อแม่ก็ทุกข์ ถ้าทุกข์ก็ต้องไปถามครูที่สอนที่โรงเรียนวันธรรมดาของลูกว่าทำไมลูกทำไม่ได้ ครูเอาอะไรมาให้ลูกสอบ ก่อนสอบครูสอนมากน้อยแค่ไหน ลูกยังไม่แม้แต่จะเข้าใจและจำก็ไม่ได้ และด้วยระบบการสอบเอาตัวเลขตีตรากันตั้งแต่เด็ก พอเด็กได้คะแนนน้อยพ่อแม่เครียดใส่ลูกก็จะยิ่งเป็นการตีตราเด็กไปตั้งแต่เล็กว่าแกโง่ ถ้าเป็นเช่นนี้ จะมีเด็กที่ไหนที่จะลุกขึ้นมากล้าเก่ง เพราะเชื่อไปโดยสนิทใจจากปฏิกิริยาของพ่อแม่และผลสอบว่าตัวเองไม่ได้เรื่องไปเรียบร้อยแล้ว กระบวนการแบบนี้ที่ทำให้เด็กไทยขาดพลังชีวิต พ่อแม่ต้องใคร่ครวญหาแนวทางช่วยเหลืออย่าตกเป็นเหยื่อของระบบคะแนนแล้วทำลายขวัญและกำลังใจลูกโดยไม่รู้ตัว เราต้องรู้จักให้เวลาเมล็ดพันธุ์ในการงอกและเจริญเติบโต

ครูอยากชวนพ่อแม่ว่า อย่าทุกข์ แต่ท่านต้องหนักแน่น ตั้งมั่นและสามารถให้กำลังใจลูกอย่างมั่นคงเสมอว่า

“แม่เชื่อว่าลูกทำได้ ลูกต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีกนะ”

ด้วยทางเข้า (access) แบบเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและสติ ท่านจึงจะปลุกยักษ์หลับผู้ฉลาดในตัวลูกออกมาได้ แต่ต้องใช้ความอดทนอย่างมหาศาล

บทเรียนที่เรียนที่ Apils บ่อยครั้งที่ไม่ตรงกับที่โรงเรียนลูก บางเรื่องที่เรียนแล้วบางทีก็ลืมบ้าง ยังจำไม่แม่น เพราะยังไม่เป็นทักษะ ยังเป็นแค่สิ่งเคยได้รู้ เคยได้เรียนถ้าเด็กๆอยู่ในกระบวนการพัฒนายาวนานพอ พวกเขาก็จะซึมซับและเข้าใจไปได้ในที่สุด เช่นเดียวกับเด็กที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายคน ก็น่าจะสำเร็จได้ภายใน 600 ถึง 1,800 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

เด็กๆจะไม่สับสน แต่การเรียน Phonics เป็นการช่วยเสริมให้เด็กได้เข้าใจและมีพื้นฐานของภาษาอังกฤษที่แข็งแรงและเมื่อเรียนหลักสูตรของเราในระดับสูงขึ้น

เด็กจะสามารถนำเรื่องเสียงภาษาอังกฤษที่ได้เรียนกับ Apils ไปประยุกต์เสริมกับการเรียนภาษาอังกฤษที่เรียนในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี  และจะช่วยให้เด็กสะสมคลังคำศัพท์ไว้เพื่อนำไปใช้ในอนาคตได้มากโดยไม่ต้องท่องจำ แต่ใช้วิธีประยุกต์หลักการอ่านไปสะกดศัพท์ใหม่ที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งจะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษระดับสูงง่ายยิ่งขึ้น และยังมีส่วนสมองที่ไม่ต้องเอาไปจำศัพท์มากมาย เก็บไว้ใช้จินตนาการและคิดสิบทิศได้อีก

เด็กๆจะค่อยๆพัฒนาความสามารถในการฟังพูดไปทีละขั้นตอน จากการพูดเป็นคำ ก็เป็นวลี (กลุ่มคำ) แล้วก็ค่อยกลายเป็นประโยค ส่วนประโยคง่ายๆ ก็สามารถพูดได้เลยด้วยการท่องจำ และพูดตามบ่อยๆ

แต่ในโลกของความเป็นจริงเด็กจะท่องประโยคไปพูดไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ที่จะพูดในสถานการณ์จำลองหรือสถานการณ์จริง

เด็กๆที่ Apils ที่เรียนในหลักสูตรเสาร์และอาทิตย์และ โปรแกรมอัจฉริยะน้อยฝึกพูดภาษาอังกฤษนั้นจะได้รับโอกาสในการเรียนฟังพูดกับครูต่างชาติตั้งแต่อายุยังน้อยผ่านสถานการณ์จำลอง และการทำกิจกรรมต่างๆ เด็กจะสามารถซึมซับการพูด และการฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

ส่วนในชั่วโมงอ่านเขียนที่อยู่กับครูไทยนั้น เด็กๆก็จะได้รับการพัฒนาให้อ่านออกสะกดคำได้ และได้เรียนไวยากรณ์และโครงสร้างประโยคแบบที่เขาจะไปสามารถสร้างประโยค ทั้งในการเขียนและการพูดได้ด้วยตนเอง

ภาระที่พ่อแม่ต้องสนใจช่วยครูทำอย่างจริงจังคือ การให้ลูกได้ฟังและดูทีวีภาคภาษาอังกฤษทุกวัน อย่างน้อยวันละ 15 นาที ถ้าเรียนที่ Apils จนจบหลักสูตร รับรองได้ว่าลูกจะพูดได้แน่นอนค่ะ ยังไงก็รบกวนคุณพ่อคุณแม่ย้ำเตือนให้ลูกตั้งใจเรียนในทุกคาบเรียนก็พอค่ะ

Apils ได้ศึกษาตำราภาษาอังกฤษจากสำนักพิมพ์ชั้นนำหลายแห่งของโลก แต่ไม่พบว่าจะมีหนังสือของสำนักพิมพ์ใดสำนักเดียวช่วยให้เด็กไทยทั่วๆไปเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง

ในฐานะสถาบันที่มุ่งสร้างหลักสูตรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กไทย ทำให้หลักสูตรของเราเหมาะกับเด็กไทยเพราะเราเข้าใจปัญหาของคนไทย เราจึงพยายามนำความรู้จากหลายแหล่งมากลั่นกรองจนตกผลึกเป็นองค์ความรู้ที่เข้าใจง่าย พบหลักคิดของภาษาที่เป็นระบบ พยายามเข้าใจวิธีคิดทางภาษาที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน แล้วสร้างเป็นเอกสารประกอบการเรียนภาษาอังกฤษที่ทำให้เด็กไทยเข้าใจภาษาอังกฤษชัดเจนมากขึ้น

เราจึงเรียกหลักสูตรสำหรับพัฒนาการอ่านเขียนของเราว่า Apils’ Version Grammar ที่เรียน Grammar and Grammatical Structures ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตนเพื่อเด็กไทย และจากการที่หลักสูตรมีความเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็กไทย ทำให้ Apils สามารถผลิตนักเรียน ที่มีความรู้ความสามารถไปสู่สังคมได้มากมายในขณะนี้ เมื่อ เป้าประสงค์ หลักสูตร แบบฝึกหัด และการจัดการเรียนการสอนดีมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันตลอด จึงขยายผลให้กับครูและนักเรียนส่วนใหญ่ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนกับเจ้าสำนักเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากชวนกันคิดก็คือผลการวิจัยของ Education First ที่ทำการวิจัยในช่วงปีพุทธศักราช 2552 – 2555 มีข้อค้นพบในภาพรวมว่าการย้ายไปอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ได้เป็นดัชนีชี้วัดว่าคนคนนั้นจะมีภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานการศึกษาและระดับภาษาก่อนที่จะย้ายไป และการได้รับการฝึกฝนในชั้นเรียนหลังจากย้ายไปยังประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษแล้ว ดังนั้น การเตรียมตัวลูกตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างถูกวิธี กับอาภาพัฒนา จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง

TOEFL iBT ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language – internet-based Test ถือว่าเป็นใบรับรองความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นที่ยอมรับและที่ต้องการของมหาวิทยาลัยทั่วโลกกว่า 4000 แห่ง และเด็กๆ จะสามารถต่อยอดภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเองเพื่อเจาะลึกศาสตร์ใดๆก็ได้ต่อไปในอนาคตและไม่ต้องห่วงเรื่องทักษะและความสามารถด้านภาษาอังกฤษของพวกเขาอีก

เรียกว่าสร้างบ้านเสร็จใช้งานได้ตลอดชีวิตค่ะ TOEFL iBT ถือเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่น่าเชื่อถือมากกว่าข้อสอบรุ่นก่อนๆ เพราะเป็นข้อสอบที่บูรณาการทักษะการสื่อสารทั้งสี่ด้านได้อย่างเป็นองค์รวมดีกว่าข้อสอบที่คนรุ่นเก่าสอบมาก ดังนั้นการพัฒนาพื้นฐานภาษาอังกฤษให้กับเด็กไทยจึงต้องต่างจากในอดีต

ในขั้นแรกเราจะให้เด็กแรกเข้าได้ทำการทดสอบความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษเพื่อที่จะได้จัดชั้นเรียนให้ใกล้เคียงกันทั้งวัยและความสามารถหลังจากเมื่อได้เรียนกับโรงเรียนของเราแล้ว

การแบ่งระดับชั้นเรียนจะเป็นไปตามศักยภาพของแต่ละบุคคลโดยพิจารณาด้านการอ่านและเขียนเป็นหลักไม่เกี่ยวกับวัยหรือความสามารถในการฟังพูด ซึ่งก็จะมีเด็กบางคนเป็น Fast Track (เรียนเร็วมาก) บางคนเป็นแบบ Go Straight (เรียนปานกลาง) และบางคนเป็นแบบ Slow but Sure (เรียนได้ช้า) โรงเรียนจะดูแลเด็กๆไปตามศักยภาพ และเท่าที่ผ่านมานักเรียนทุกคนก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเพียงแต่นักเรียนใช้เวลาไม่เท่ากัน

โรงเรียนพัฒนาหลักสูตรขึ้นเองเพื่อแก้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทย

โดยนำบทเรียนต่างๆ มาเรียงลำดับให้ง่ายสำหรับเด็กและคนไทยที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เราเริ่มต้นด้วยการสอน Phonics (วิธีการสอนผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษให้ฝึกอ่านและเปล่งเสียงคำศัพท์ด้วยการเรียนเสียงของตัวอักษร สระ และกลุ่มอักษรควบกล้ำ The method of teaching beginners to learn to read and pronounce words by learning the phonetic value of letters, vowels, and letter groups) Phonics เป็นหลักสูตรสากลทั่วโลก ที่แม้แต่เด็กในโรงเรียนนานาชาติ หรือแม้แต่ในโรงเรียนเจ้าของภาษาอย่างอังกฤษและแคนาดาก็ต้องเรียน

โดย Apils ได้นำองค์ประกอบด้านการพัฒนาสำเนียงบรรจุลงไปในการสอนด้วย จึงทำให้การอ่านออกเสียงของเด็กมีความถูกต้องและมีสำเนียงใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาที่มีการศึกษาดี

ส่วนหลักสูตรระดับ 6 – 30 นั้น Apils ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เด็กไทยเอาชนะภาษาอังกฤษให้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยและต้องเก่งอังกฤษได้แม้ไม่ไปเรียนในต่างประเทศ พอถึงเวลาไปก็สามารถใช้ภาษาเพื่อการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆได้เป็นอย่างดีใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา

ในการเรียนนักเรียนจะเรียนผ่านเอกสาร และแบบฝึกหัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โรงเรียนสร้างขึ้นสำหรับเด็กไทยยุคใหม่โดยเฉพาะ เพื่อบอกว่า ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว เมื่อเรียนกับ Apils จนสามารถเชื่อมโยงหลักการต่างๆของภาษาได้จนเห็นภาพรวม และไปต่อยอดจนเกิดความเชี่ยวชาญได้ด้วยตนเองในระยะยาว

โรงเรียนมุ่งเน้นให้คุณครูดำเนินการสอนผ่านกิจกรรมต่างๆที่หลากหลายเพราะเข้าใจว่าเด็กส่วนใหญ่จะเรียนได้ดีเมื่อเรียนผ่านการเล่นและลงมือทำการเล่นคือการทำงานของเด็ก พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้อยู่ในระบบจนถึงความสำเร็จได้ แต่ก็มีเรียนแบบเอาจริงเอาจังโดยไม่ผ่านกิจกรรมตอนที่เป็นวิชาการชั้นสูงบ้าง

แต่เด็กส่วนใหญ่ เมื่อเรียนผ่านระดับ 20 แล้วจะเข้าใจภาษาอังกฤษและจะไม่เลิก ไม่ท้อ ไม่เบื่อ เพราะรู้ว่ามันง่าย แถมรู้อีกว่าเอาวิชานี้ไปเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพในอนาคตได้ เพราะฉะนั้น ถ้าลูกท้อ คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ถอย คุณพ่อคุณแม่ต้องคิดหาวิธีช่วยประคับประคองลูกจนก้าวข้ามความไม่รู้ไม่เข้าใจและความเหนื่อยไปให้ได้ เพราะภาษาอังกฤษเป็นวิชาทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพและการเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ใช่วิชาที่เรียนเพียงเพื่อประกอบการจบปริญญาเหมือนสมัยก่อน

  1. โปรแกรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ (E.P.D.P.) 13 คนต่อชั้นเรียน (ไม่เกิน 15 คน เมื่อรวมเด็กเรียนชดเชย)

  2. โปรแกรมอัจฉริยะน้อยฝึกพูดภาษาอังกฤษ (I.L.S.P.) 5 หรือ 10 คนต่อชั้นเรียน

  3. โปรแกรมพัฒนาสำเนียง (A.D.P.) ประมาณ 10-13 คนต่อชั้นเรียน

เท่าที่สังเกต ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันทั้งด้านเสียงและไวยากรณ์เข้าใจง่าย และมีเหตุผลมากกว่าภาษาอังกฤษแบบอังกฤษที่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากเหลือเกิน

นอกจากนี้ เราเชื่อว่าอเมริกาเป็นผู้มีอิทธิพลด้านสื่อต่อคนทั่วโลกสูง คนทั่วโลกน่าจะดูรายการทีวีคล้ายๆกันซึ่งส่วนใหญ่ผลิตโดยอเมริกาครูได้แต่หวังว่าโลกนี้จะเป็นโลกที่ใช้ภาษาเดียวกัน (One World One Language) คือภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถชี้ชัดไปได้ว่าเป็นสำเนียงไหนเพราะคำศัพท์ที่ใช้เราก็ใช้ทั้งอังกฤษแบบอังกฤษและอังกฤษแบบอเมริกันเอาเป็นว่าเป็นสำเนียงที่เป็นสากลก็แล้วกัน

  1. ผู้ปกครองต้องเคร่งครัดต่อการบริหารเวลา และกิจกรรมในชีวิตของตนเองเพื่อให้สามารถพานักเรียนมาเข้าเรียนให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ คัมภีร์สู่ความสำเร็จของนักเรียนทุกคนอยู่ที่ความต่อเนื่องสม่ำเสมอ หัวใจของความสำเร็จของเด็กที่ความจำบกพร่องคือการทำซ้ำๆจนจำได้

  2. ผู้ปกครองนักเรียนควรส่งนักเรียนถึงโรงเรียนก่อนเวลาเรียนอย่างน้อยที่สุด 5 นาทีไม่ควรส่งบุตรหลานเข้าเรียนสาย เพราะนักเรียนจะพลาดบทเรียนสำคัญช่วง 15 นาทีแรกของการเรียนนักเรียนที่มาสายบ่อยถือเป็นความรับผิดชอบของคุณพ่อคุณแม่และครูผู้สอนร่วมกันในการแก้ปัญหา

  3. ผู้ปกครองต้องมี ความรัก ความเข้าใจ รอคอย และพยายามทำความเข้าใจกับหลักสูตร เป้าประสงค์ วิธีการจัดการเรียนการสอนและกระบวนการของ Apils นอกจากนี้หากอยากทราบว่าลูกกำลังเรียนเรื่องใดอยู่ ก็ให้ลูกหยิบและอ่านใบงานที่ได้รับในแต่ละวันให้ฟัง ถ้านักเรียนบางคนยังอ่านหรือทำแบบฝึกได้ไม่คล่อง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ให้กำลังใจ กอดลูก และบอกว่า “ลูกพยายามต่อไปนะคะ แม่เชื่อว่าลูกต้องทำได้”

  4. ผู้ปกครองต้องสอนให้ลูกรู้จักการวางตัวให้เหมาะสมกับกาลเทศะ คือ รู้ว่าเวลาใดเป็นเวลาเรียน เวลาใดเป็นเวลาเล่น ช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้มีเป้าหมายในชีวิต เห็นคุณค่าของความสามารถทางภาษาอังกฤษ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในระยะยาว เพราะเด็กมีโอกาสค้นคว้าหาความรู้และเป็นผู้เชี่ยวชาญลึกซึ้งในศาสตร์ต่างๆ ผ่านภาษาอังกฤษ

  5. ผู้ปกครองควรส่งบุตรหลานเข้าเรียนอย่างต่อเนื่อง และไว้วางใจในหลักสูตรของโรงเรียน อดทนรอคอยและช่วยส่งเสริมสนับสนุนบุตรหลานให้ดูรายการทีวีภาคภาษาอังกฤษเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 15 นาที โดยนั่งดูเป็นเพื่อนลูกเรื่อยไป แม้ไม่เข้าใจก็ตาม วันหนึ่งจะค่อยเข้าใจไปเอง แต่สำหรับลูกการดูทีวีภาคภาษาอังกฤษถือเป็นการปรับการฟังภาษาอังกฤษให้คุ้นชินตั้งแต่ยังเด็ก การทำเช่นนี้จะทำให้ลูกมีต้นทุนทางการฟังที่ดี สามารถรับสารได้รวดเร็วเมื่อโตขึ้นเมื่อผนวกกับสิ่งที่เรียนที่ Apils ลูกก็จะสามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ

ระยะเวลาในการจบหลักสูตรนั้นจะเป็นไปตามศักยภาพของผู้เรียน

จากประสบการณ์มีนักเรียนที่เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้น ป.2 และเมื่ออยู่ชั้น ม.3 เทอมต้น ก็สามารถสอบผ่าน TOEFL Placement Test เข้าไปนั่งเรียนคอร์ส เตรียมตัวสอบ TOEFL iBT พร้อมกับนิสิตนักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรีและกำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อปริญญาโทในต่าง ประเทศได้แล้ว

ดังนั้น โรงเรียนอยากให้คุณพ่อคุณแม่ให้โอกาสลูกในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษกับ Apils สัปดาห์ละ 2.3 ชั่วโมง อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 – 15 ปี หรือถ้านับเป็นชั่วโมงก็ประมาณ 600–1,800 ชั่วโมง เด็กส่วนใหญ่ที่เรียนปานกลางจะใช้เวลาอยู่ในระบบประมาณ 960 – 1,200 ชั่วโมงเท่านั้น

การให้กรอบเวลาของความสำเร็จไว้กว้างๆ อย่างนี้น่าจะทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมีสติและตระหนักขึ้นมาได้ว่า … เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน เมื่อเราตั้งใจจะให้ได้ผลลัพธ์ที่เท่าเทียมกัน เราก็น่าจะยอมให้เด็กใช้เวลาจนกว่าจะบรรลุผลที่ต่างกันได้

และนี่คือหลักการที่ Apils ยืนหยัดเพื่อดำรงไว้ซึ่งสิทธิ ในการประสบความสำเร็จของเด็กทุกคนตลอดมา ถ้าท่านชอบแบบที่จะเรียนให้จบเล่ม จบคอร์สการจ่ายเงิน ภายในเวลาที่กำหนด แต่ไม่รู้ว่าลูกได้อะไรบ้าง Apils ก็คงจะไม่เหมาะกับจริตของท่านเท่านั้นเอง …

  1. ควรสังเกต สอบถามหาสาเหตุ ว่าทำไมลูกของเราจึงเบื่อและไม่อยากมาเรียน เมื่อทราบถึงสาเหตุหรือปัญหาคุณพ่อคุณแม่สามารถนำปัญหาเหล่านั้นมาปรึกษากับโรงเรียนซึ่งท่านผู้อำนวยการและทีมงานของครูยินดีให้คำปรึกษาด้วยความเต็มใจ โดยแจ้งเรื่องไว้กับคุณครูธุรการ แล้วคุณครูผู้สอนจะติดต่อกลับไป

  2. คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างแรงจูงใจ และช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากเรียนและคอยให้กำลังใจเมื่อเด็กเกิดความท้อนักเรียนที่เรียนจนสำเร็จระดับสูงก็เพราะมีคุณพ่อคุณแม่ที่สอนให้ลูกเข้าใจว่า ในชีวิตนี้ สิ่งใดเลือกทำได้ สิ่งใดควรทำ และสิ่งใดที่ลูกต้องทำ

ท่านผู้ปกครองอาจจะจัดกิจกรรมสันทนาการในครอบครัว โดยการนำคำศัพท์ที่น้องอ่านได้เหล่านั้นมาเล่นเกมส์หรือทำกิจกรรมที่สนุกสนานในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และช่วยย้ำเตือนให้เด็กเข้าใจความหมายของศัพท์แต่ละคำไปในตัว อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว

แต่ถ้าบ้านไหน คุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลาหรือไม่มีพื้นความรู้ทางภาษาอังกฤษ ก็สอนลูกให้ตั้งใจเรียนในห้อง การได้พบคำศัพท์บ่อยๆจะทำให้ค่อยๆจำได้เอง เด็กๆที่เรียนมาจนถึงระดับสูงก็เกิดการสะสมคลังคำศัพท์ได้กันทุกคน Apils ไม่เคยให้ลูกศิษย์ท่องศัพท์